วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เรียนจบเเร้วอยากประกอบอาชีพไร

กองทัพเรือไทย หรือ ราชนาวีไทย (คำย่อ: ทร.อังกฤษRoyal Thai Navy คำย่อภาษาอังกฤษ: RTN) เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบต่อการปฏิบัติการทางทหารในทะเล ลำน้ำ และพื้นที่บริเวณชายฝั่งของประเทศไทย กองทัพเรือมีจำนวนกำลังพลประจำการเป็นลำดับ 2 (รองจากกองทัพบก) ซึ่งมีเรือปฏิบัติการด้วยเรือรบกว่า 74 ลำ อากาศยานกว่า 90 เครื่อง และกำลังรบทางบกอีก 2 กองพล นับเป็นกองทัพเรือที่มีความสำคัญในลำดับต้นของภูมิภาคเอเชีย กองทัพเรือมีผู้บัญชาการทหารเรือเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด โดยเป็นหน่วยงานในสังกัดของกองบัญชาการกองทัพไทย ที่มีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นผู้บังคับบัญชา และอยู่ในสังกัดของกระทรวงกลาโหม
กองทัพเรือมีพื้นที่ปฏิบัติการหลักทั้งในอ่าวไทยและทะเลอันดามัน ตามแนวเขตแดนระหว่างประเทศในทะเลความยาวกว่า 1,680 ไมล์ และตามแนวชายฝั่งความยาวกว่า 1,500 ไมล์ หน่วยต่างๆ ในสังกัดกองทัพเรือมีลักษณะการจัดโครงสร้างหน่วยที่คล้ายกับกองทัพเรือสหรัฐอเมริกามาก โดยเฉพาะในหน่วยกำลังรบ คือ กองการบินทหารเรือ กองเรือยุทธการ (กบร. กร.) หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ (นสร. กร.) และหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน (นย.)

เนื้อหา

  [ซ่อน

หน้าที่ ภารกิจ และบทบาท[แก้]


กองทัพเรือมีหน้าที่เตรียมกำลังกองทัพเรือ การป้องกันราชอาณาจักร และดำเนินการเกี่ยวกับการใช้กำลังกองทัพเรือตามอำนาจหน้าที่ของกระทรวงกลาโหม ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551[2] ตลอดจนหน้าที่อื่นๆ ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล
จากหน้าที่ดังกล่าวทำให้กองทัพเรือมีภารกิจ คือ
  1. การปกป้องเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์
  2. การรักษาสิทธิและอธิปไตยของชาติทางทะเล
  3. การคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล
  4. การดำรงการคมนาคมทางทะเลให้ได้อย่างต่อเนื่อง
  5. การช่วยเหลือและสนับสนุนการป้องกันอธิปไตยทางบก
  6. การสนับสนุนการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ
  7. การสนับสนุนการพัฒนาประเทศและช่วยเหลือประชาชน
บทบาทของกองทัพเรือในปัจจุบัน คือ
  1. การปฏิบัติการทางทหาร (Military Role) คือ การปฏิบัติการทางเรือเพื่อการป้องกันประเทศในรูปแบบต่างๆ ตามสถานการณ์ที่กระทบต่ออำนาจอธิปไตยและเอกราชของประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องใช้กำลังทางเรือที่เข้มแข็ง ปฏิบัติการด้วยความเฉียบพลัน รุนแรง และเด็ดขาด
  2. การรักษากฎหมายและช่วยเหลือ (Constabulary Role) คือ การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ การรักษากฎหมายตามที่รัฐบาลมอบอำนาจ ให้ทหารเรือเป็นเจ้าหน้าที่รวม 28 ฉบับ รวมถึงการให้ความช่วยเหลือประชาชนและการพัฒนาประเทศ
  3. การสนับสนุนกิจการระหว่างประเทศ (Diplomatic Role) คือ การสนับสนุนการดำเนินนโยบายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของรัฐบาล และใช้หรือแสดงกำลังเพื่อสนับสนุนการเจรจาต่อรอง เมื่อมีการขัดกันในผลประโยชน์ของชาติหรือเหตุการณ์วิกฤติที่กระทบต่อผลประโยชน์ของชาติโดยตรง

ประวัติ[แก้]


ธงราชนาวีไทย
กองทัพเรือมีกำเนิดควบคู่มากับการสร้างอาณาจักรไทยนับตั้งแต่กรุงสุโขทัยเป็นราชธานี กองทัพไทยในสมัยเดิมนั้นมีเพียงทหารเหล่าเดียวมิได้แบ่งแยกออกเป็นกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ อย่างเช่นในสมัยปัจจุบัน หากยาตราทัพไปทางบกก็เรียกว่า ทัพบก หากยาตราทัพไปทางเรือก็เรียกว่า ทัพเรือ การจัดระเบียบการปกครองบังคับบัญชากองทัพไทยในยามปกติยังไม่มีแบบแผนที่แน่นอน ในยามศึกสงครามได้ใช้ทหารทัพบกและทัพเรือรวมๆ กันไป ในการ ยาตราทัพเพื่อทำศึกสงครามภายในอาณาจักรหรือนอกอาณาจักร ก็มีความจำเป็นต้องใช้เรือเป็นพาหนะในการลำเลียงทหารและเครื่องศัสตราวุธ เรือนอกจากจะสามารถลำเลียงเสบียงอาหารได้คราวละมากๆ แล้ว ยังสามารถลำเลียงอาวุธหนัก เช่น ปืนใหญ่ ไปได้สะดวกและรวดเร็วกว่าทางบกด้วย จึงนิยมยกทัพไปทางเรือจนสุดทางน้ำแล้วจึงยกทัพต่อไปทางบก กิจการทหารเรือดำเนินไปเช่นนี้จนถึงสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
พ.ศ. 2394 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กิจการทหารเรือเริ่มแบ่งออกมาชัดเจน และแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ทหารเรือวังหน้า ขึ้นตรงกับพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว กับทหารเรือวังหลวง หรือทหารมะรีนสำหรับเรือรบ ขึ้นตรงกับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) สมุหพระกลาโหม โดยทหารเรือวังหน้ามีหน่วยขึ้นในสังกัด คือ กรมเรือกลไฟ กรมอาสาจาม และกองทะเล (บางทีเรียกว่ากองกะลาสี) ส่วนกรมอรสุมพลมีหน่วยขึ้นในสังกัด คือ กรมเรือกลไฟ กรมอาสามอญ และกรมอาสาจาม ซึ่งทหารทั้งสองหน่วยนี้เป็นอิสระจากกัน
พ.ศ. 2408 ในสมัยต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การปกครองประเทศยังเป็นระบบจตุสดมภ์อยู่โดยมีกรมพระกลาโหมว่าการฝ่ายทหาร ในขณะนั้นกิจการฝ่ายทหารเรือแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ทหารเรือวังหน้า หรือทหารเรือฝ่ายพระราชวังบวร ขึ้นตรงกับกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ) และทหารเรือวังหลวง หรือกรมอรสุมพล ขึ้นตรงกับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ และต่อมาในปี พ.ศ. 2412 ขึ้นตรงกับเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ สมุหพระกลาโหม
พ.ศ. 2415 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูหัว ได้ทรงปรับปรุงหน่วยทหารในกองทัพขึ้นใหม่ โดยแบ่งออกเป็น 9 หน่วย โดยในส่วนของทหารเรือวังหลวง คือ กรมทหารเรือพระที่นั่ง (เวสาตรี) และกรมอรสุมพล

สายที่อยากเรียน

ธุรกิจค้าปลีก

 Filed under บทความ 
                ธุรกิจค้าปลีกคือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้าและบริการไปสู่ “ผู้บริโภคคนสุดท้าย” โดยอาจจะรับสินค้ามากจากผู้ผลิต หรือรับสินค้ามาจากผู้ค้าส่ง วิวัฒนาการธุรกิจค้าปลีกมีมายาวนานหลายพันปี ตั้งแต่มนุษย์เริ่มมีการแลกเปลี่ยนสินค้า และใช้สื่อกลางการแลกเปลี่ยนอย่างเงินตราจนแพร่หลาย พัฒนาการเป็นการค้าขายเกิดขึ้น เส้นทางการค้าที่รุ่งเรืองตั้งแต่ยุคเส้นทางสายใหม มาเป็นเส้นทางเดินเรือโบราณ จนถึงปัจจุบัน ก่อให้เกิดประโยชน์และความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองมากมายมหาศาล
                 จุดกำเนิดธุรกิจค้าปลีก มักเริ่มต้นจาก “ตลาด” หรือแหล่งค้าขายโดยเป็นสถานที่พบปะกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งประกอบไปด้วยร้านค้าเล็ก ๆ ซึ่งมักจะเป็นธุรกิจครอบครัว จนพัฒนาสถานที่ใหญ่โตหรูหราขึ้นเป็น “ห้างสรรพสินค้า” ห้างยุคแรก ๆ ในไทยจึงมีจุดขายที่ความหรูหรา เช่น ติดแอร์เย็นฉ่ำ หรือมีบันไดเลื่อน แต่พัฒนาการที่สำคัญที่สุดของธุรกิจค้าปลีกคือการเป็นห้างเครือข่าย (Chain Store)  และเป็นยุคเริ่มต้นของธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ หรือ Modern Trade ที่สร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
                ห้างเครือข่ายมีจุดเริ่มต้นจากประเทศอังกฤษ คือร้าน W H Smith ซึ่งเป็นธุรกิจร้านหนังสือในกรุงลอนดอน ในปีคศ. 1792 และโมเดลธุรกิจค้าปลีกก็ถูกพัฒนาตามลำดับจากแนวคิดการเป็นห้างเครือข่าย คือการมีระบบบริหารจัดการกลางร่วมกันเพื่อให้ประหยัดต่อขนาด และสร้างห้างต้นแบบ เพื่อใช้เป็นแบบในการขยายสาขาต่อไป ในอดีตธุรกิจค้าปลีกไม่ใช่ธุรกิจที่สร้างกำไรหรือโดดเด่น เราไม่เคยเห็นชื่อธุรกิจค้าปลีกขึ้นอันดับใน Fortune 500 กระทั่งไม่กี่ทศวรรษให้หลัง ห้าง Walmart ก้าวขึ้นมาเป็นธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกในแง่ของยอดขาย ซึ่งก็ถือเป็นช่วงของยุคทองของธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่จนถึงปัจจุบัน
                สาเหตุที่ธุรกิจในอุตสาหกรรมค้าปลีกเติบโตขึ้น มาจากหลายเหตุปัจจัย และปัจจัยเหล่านี้คือสเน่ห์ของธุรกิจค้าปลีก ที่ทำให้ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นอย่างมากในทั้งระบบเศรษฐกิจและในตลาดหุ้นไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
                ปัจจัยแรก ธุรกิจค้าปลีกเป็นธุรกิจเงินสด จึงมีกระแสเงินสดดี เพราะสามารถได้เครดิตจาก Supplier และขายเงินสดให้กับลูกค้า อีกทั้งยังสร้างฐานลูกค้าใหม่โดยใช้เวลาไม่มากนักและสามารถประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุผลนี้ธุรกิจค้าปลีกจึงสามารถขยายตัวได้โดยมีอุปสรรคที่น้อยกว่า ถ้าสามารถหาโมเดลที่เหมาะสมได้แล้ว และเมื่อสาขาขยายตัว โดยปกติธุรกิจค้าปลีกจะเลือกหาทำเลที่ดีที่สุดก่อนในราคาที่เหมาะสม ดังนั้นกลยุทธ์ First mover advantage จึงสำคัญมากในธุรกิจนี้ เพราะใครเริ่มเลือกทำเลก่อน ก็จะได้เปรียบอย่างมากในการแข่งขัน
                นอกจากนั้น ธุรกิจยังมีประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาดอีกจำนวนมาก เนื่องจากการใช้ทรัพยากรสำคัญบางอย่างร่วมกันอย่างสูงในธุรกิจนี้ เช่นระบบบริหารจัดการกลาง ระบบคลังสินค้า ระบบขนส่ง รวมถึงค่าใช้จ่ายทางการตลาดบางอย่าง ซึ่งทำให้ธุรกิจค้าปลีกสุดท้ายแล้วมักจะเหลือผู้เล่นอยู่ไม่กี่ราย  เนื่องจากผู้ที่ได้เปรียบจะสามารถกินรวบผู้ที่อ่อนแอกว่าได้ และความได้เปรียบนี้เอง สามารถใช้ต่อรองกับผู้ค้าส่งและผู้ผลิตได้อีก ทำให้ได้ต้นทุนที่ดีขึ้นไปอีก อันที่จริงระบบค้าปลีกสมัยใหม่ก็ช่วยให้ประสิทธิภาพโดยรวมของเศรษฐกิจดีขึ้น เพราะนอกจากเพิ่มประสิทธิภาพของการกระจายสินค้าให้กับผู้บริโภคแล้ว ก็ยังเพิ่มประสิทธิภาพของผู้ผลิตอีกด้วย
            ปัจจัยที่สองคือธุรกิจค้าปลีกเป็นธุรกิจที่ได้ประโยชน์ต่อการใช้เทคโนโลยีเป็นอย่างมาก ซึ่งมีส่วนช่วยให้การบริหารจัดกลางจากส่วนกลางเป็นไปได้ง่าย และทำให้ห่วงโซ่ อุปทานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ การขนส่ง และเทคโนโลยียังช่วยให้สามารถวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ลดภาระของการต้องสต๊อคสินค้าจำนวนมาก และอาจจะทำให้สินค้าล้าสมัย อีกด้านหนึ่งก็ช่วยลดปัญหาสินค้าขาดซึ่งอาจจะทำให้เสียลูกค้า จึงช่วยให้สามารถบริหารกำไรได้ดียิ่งขึ้น และยังช่วยบริหารต้นทุนสินค้ารวมถึงราคาขายซึ่งมักจะเป็นกลยุทธ์ราคาแบบ Cost Plus คือตั้งราคาขายจากต้นทุนที่ได้มาบวกกับค่าใช้จ่ายและกำไร เทคโนโลยีจึงช่วยลดต้นทุนเป็นอย่างมาก และทำให้เกิดรูปแบบ Discount Store ซึ่งตอบโจทย์ผู้บริโภค คือมีของครบในราคาถูก
                โอกาสของธุรกิจค้าปลีกจึงไปกับการขยายตัวของเมือง และกำลังซื้อของผู้บริโภค การเชื่อมต่อ AEC ก็เป็นโอกาสมหาศาลของธุรกิจนี้ เพราะค้าปลีกสมัยใหม่ในประเทศเพื่อนบ้านของไทยยังมีสัดส่วนที่น้อยมาก และความได้เปรียบบางอย่างก็จากประเทศไทยก็สามารถส่งต่อไปใช้กับประเทศเพื่อนบ้านได้ ถ้ามีการคมนาคมที่แข็งแรงขึ้น อย่างไรก็ดีความท้าทายในธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยก็มีไม่น้อย นอกจากเรื่องการขยายตัวไปต่างประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องของเทคโนโลยี เพราะถ้าธุรกิจนี้เกิดขึ้นจากเทคโนโลยี ก็มีความเป็นไปได้ที่เทคโนโลยีจะฆ่าธุรกิจนี้เช่นเดียวกัน อันจะเห็นได้จากธุรกิจค้าปลีกหนังสือ เพลงในต่างประเทศ (ที่เป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจสมัยใหม่) ถูกธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่บนเทคโนโลยีออนไลน์กลืนกินจนปิดกิจการเป็นจำนวนมาก แต่นี่คือสเน่ห์ของธุรกิจนี้ การปรับตัวให้เข้ากับผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เป็นปัจจัยแห่งชัยชนะ

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

มารยาทไทย

มารยาทไทย

          

                   มารยาทไทย แสดงออกถึงความเป็นไทยที่ดีงามทางกิริยา และวาจา ที่ปฏิบัติต่อกันด้วยความสุภาพอ่อนน้อม มีสัมมาคารวะ และมิตรภาพที่ดี การปลูกฝังมารยาทไทยให้เยาวชนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อจะได้นำไปประพฤติปฏิบัติร่วมกันอนุรักษ์ และรักษามารยาทไทยอันดีงามสืบต่อไป

๑.มารยาทในการแสดงความเคารพ

                   การแสดงความเคารพสามารถการทำได้หลายวิธี เช่นการไหว้ การกราบ การคำนับ การยืน การนั่ง การเดิน เป็นต้น ซึ่งจะปฏิบัติแตกต่างกันไปตามวาระโอกาส บุคคล และสถานที่

การโค้งคำนับ
             เป็นการแสดงความเคารพที่นิยมใช้กันในโอกาสพเศษต่างๆ เช่นถวายความเคารพพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์





การกราบ
                 เป็นการแสดงความเคารพที่มักใช้กับผู้สูงกว่า เช่น พระสงฆ์ พ่อ แม่ ครู ผู้มีพระคุณที่อาวุโสกว่าและปูชนียสถานหรือปูชนียวัตถุที่ควรค่าแก่การกราบไหว้ซึ่งวิธีการกราบจะแตกต่างกันไปตามระดับของบุคคล





การไหว้

             เป็นการแดงความเคารพพื้นฐานที่สามรถใช้ได้กับบุคคลแทบทุกระดับตั้งแต่พระสงฆ์จนกระทั่งคนในระดับเดียวกันตลอดจนศาสนสถาน และรูปเคารพต่างๆ ซึ่งก้อจะมีวิธีการไหว้ที่แตกต่างกันไป

     การปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี

๑. ศึกษาวิธีการแสดงความเคารพในรูปแบบต่างๆ
๒. เข้าร่วมกิจกรรมอนุรักษ์มารยาทไทย
๓. แสดงความเคารพได้ถูกต้องตามมารยาทไทยอยู่เสมอ

     การแนะนำผู้อื่น

๑. เชิญชวนให้ผู้อื่นแสดงความเคารพแบบไทยอย่างถูกต้อง
๒. บอกเล่าให้ผู้อื่นทราบถึงความสำคัญของมารยาทในการแสดงความเคารพ
๓. แนะนำวิธีการแสดงความเคารพในรูปแบบต่างๆ
๔. กล่าวชมเชยผู้ที่แสดงความเคารพได้ถูกต้อง

๒.มารยาทในการสนทนา

                  การสนทนา เป็นการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด การแสดงความคิดเห็น โดยการพูดคุยโต้ตอบกัน การสนทนาจึงเป็นสื่อกลางที่ทำให้มนุษย์รับรู้ เข้าใจ ซึ่งกันและกัน

     มารยาทในการสนทนาระหว่างบุคคลที่ถูกต้อง

๑. พูดสนทนาด้วยภาษาสุภาพ และลงท้ายด้วยหางเสียงครับ/ค่ะ
๒. หลีกเลี่ยงการพูดในเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้ฟัง
๓. พูดตรงประเด็น จริงใจ
๔.ขณะที่สนทนา สายตาควรมองไปที่ผู้ฟัง เนื่องจากแสดงให้เห็นถึงความสนใจ
๕. ไม่เป็นผู้พูดแต่ฝ่ายเดียว ควรเปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้แสดงความคิดเห็นด้วย

      การปฏิบัติตนในการสนทนา

๑. ศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวกับมารยาทในการสนทนา
๒. ปฏิบัติตนในการสนทนาได้อย่างเหมาะสม
๓. สนทนาด้วยความจริงใจ
๔. ขณะสนทนากับผู้อื่นควรแสดงความเคารพด้วยการตั้งใจฟัง

     การแนะนำผู้อื่นให้มีมารยาทในการสนทนาที่ถูกต้อง

๑. อธิบายถึงคุณค่า ความสำคัญของการปฏิบัติตนเป็นผู้มีมารยาทในการสนทนาที่ดี
๒. แนะนำวิธีปฏิบัติตนเป็นผู้มีมารยาทในการสนทนาที่ดีให้แก่ผู้อื่น
๓. ชี้แนะผู้อื่นให้ปฏิบัติตนเป็นผู้มีมารยาทในการสนทนาที่ดี
๔. เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติตนเป็นผู้มีมารยาทในการสนทนา
๕. ชมเชยผู้ที่ปฏิบัติตนเป็นผู้มีมารยาทในการสนทนาที่ดี


๓.มารยาทในการแต่งกาย

                การแต่งกายของคนเรามีหลายลักษณะ ขึ้นอยู่กับความชอบ รสนิยม โอกาส และสถานที่ ซึ่งควรคำนึงถึงมารยาทถึงการแต่งกายให้ถูกต้องตามกาลเทศะ อีกทั้งการแต่งกายเป็นสิ่งที่แสดงบุคลิกภาพของบุคคล

     มารยาทในการแต่งกายที่ถูกต้อง

๑. สวมเครื่องแต่งกายโดยคำนึงถึงดอกาส สถานที่และบุคคลที่เราต้องไปพบ                               
๒. สวมเสื้อผ้าที่เรียบร้อยและไม่จำเป็นต้องมีราคาแพง                                                                     
๓. แต่งกายมิดชิด ไม่เปิดเผยส่วนของร่างกายจนเกินไป                                                                 

นักเรียนควรแต่งกายให้ถูกต้องตามกฎระเบียบของโรงเรียน


๔.การมีสัมมาคารวะ

              สัมมาคารวะเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความเคารพ นอบน้อมทั้งทางกาย วาจา และใจต่อผู้อื่นรวมถึงการมีมารยาท และปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้อง

     ลักษณะของผู้ที่มีสัมมาคารวะ

๑. มีความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้อื่น
๒. เคารพและให้เกียรติผู้อื่นอยู่เสมอ
๓. มีมารยาททั้งกาย วาจา ใจ
๔. ประพฤติปฏิบัติให้เหมาะกับกาลเทศะ
๕. ไม่แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้อื่น

     การมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และแนะนำผู้อื่นให้ปฏิบัติตนมีสัมมาคารวะ

๑. แนะนำผู้อื่นถึงวิธีการปฏิบัติตนอย่างมีสัมมาคารวะที่ถูกต้อง
๒. อธิบายถึงคุณค่า ความสำคัญ และผลดีที่เกิดจากการเป็นผู้มีสัมมาคารวะ
๓. คอยตักเตือนบุคคลใกล้ชิดให้ปฏิบัติตนเป็นผู้มีสัมมาคารวะอยู่เสมอ
๔. ชักชวนผู้อื่นให้ร่วมกันปฏิบัติตนเป็นผู้ที่มีสัมมาคารวะเพื่อการสืบสานและอนุรักษ์
๕. ให้การชื่นชมผู้ที่ปฏิบัติตนเป็นผู้ที่มีสัมมาคารวะอยู่เสมอ






















ระเบียบในห้องคอม

   1.  ห้ามเล่นเกมส์ หรือคำสั่งอื่นใดนอกเหนือจากคำสั่งของผู้สอน
   2.  ห้ามเปิดรูปภาพ หรือ Website ที่ไม่เหมาะสม
  3.  ห้ามนำแผ่นดิสก์หรือแผ่นซีดีเข้ามาในห้องเรียนคอมพิวเตอร์ก่อนได้รับอนุญาต
  4.  ห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มเข้ามาในห้องเรียนคอมพิวเตอร์เด็ดขาด
  5.  ให้แต่งกายสุภาพตามระเบียบของโรงเรียน และถอดรองเท้าวางไว้หน้าห้อง
  6.  ห้ามส่งเสียงดัง เปิดเพลง หรือวิ่งเล่นในห้องเรียนคอมพิวเตอร์
  7.  ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยความระมัดระวังและห้ามขีดเขียนใดๆ ทั้งสิ้นลงในอุปกรณ์ทุกชิ้น
  8.  ห้ามนำอุปกรณ์ใดๆ ออกนอกห้องคอมพิวเตอร์ โดยเด็ดขาด
  9.  เมื่อพบปัญหาใดๆ ให้รีบแจ้งครู-อาจารย์ประจำห้องทราบทันที
10.  หากมีการฝ่าฝืนจะได้รับการลงโทษ โดยจะถูกตัดคะแนนการใช้ห้องเรียนคอมพิวเตอร์
:: ระเบียบการตัดคะแนนการใช้ห้องเรียนคอมพิวเตอร์ ::
  1. ถ้าทำผิดระเบียบ 1 ครั้ง จะตัดครั้งละไม่เกิน 10 คะแนน
  2. ถ้าทำผิดระเบียบถึง 3 ครั้ง จะแจ้งให้ครูประจำชั้นทราบ
  3. ถ้าทำผิดระเบียบถึง 4 ครั้ง จะแจ้งให้ฝ่ายปกครองทราบ
  4. ถ้าทำผิดระเบียบถึง 5 ครั้ง จะแจ้งให้อาจารย์ใหญ่ทราบ
  5. ถ้าทำผิดระเบียบถึง 6 ครั้ง จะไม่อนุญาตให้ใช้ห้องตลอดปีการศึกษานั้น

 

มงคลชีวิต


มงคลชีวิต ๓๘ ประการ เป็นหมวดธรรมะ ที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจ และการนำไปปฎิบัติ เพราะเป็นหมวดธรรมะ ที่เป็นขั้นเป็นตอนเกี่ยวเนื่องกัน และสามารถนำไปใช้กับชีวิตประจำวัน ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะทำให้ผู้ปฏิบัติมีความสมบูรณ์พร้อม คือฝึกให้เป็นคนดี, สร้างความพร้อมในการฝึกตนเอง, ฝึกตนให้เป็นคนมีประโยชน์, บำเพ็ญประโยชน์ ต่อครอบครัวและสังคม, ธรรมะเบื้องสูงใส่ตัวให้เต็มที่, การฝึกภาคปฏิบัต ิเพื่อกำจัดกิเลสให้สิ้นไป, ผลจากการปฏิบัติจนหมดกิเลส และยังประโยชน์สูงสุด ของการปฏิบัติให้เกิดขึ้น คือ ผู้ปฏิบัติจะมีจิตใจที่สะอาด บริสุทธิ์ บริบูรณ์ หมดกิเลส สามารถทำพระนิพพานให้แจ้ง สร้างบารมีให้ถึงที่สุดแห่งธรรมได้ในที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559

ข้อมูลข่าวสาร

หมวด ๑ การเปิดเผยขอม้ ูลข่าวสาร _______________ มาตรา ๗ หน่วยงานของรฐตั องส ้ ่งขอม้ ลขู าวสารของราชการอย ่ ่างนอยด ้ งตั ่อไปนÊลงพ ี มพิ ในราชก ์ จจา ิ นุเบกษา (๑) โครงสรางและการจ ้ ดองค ั กรในการด ์ าเนํ นงาน ิ (๒) สรุปอานาจหน ํ าท้ ่ที่สีาคํ ญและว ั ธิการด ี าเนํ นงาน ิ (๓) สถานท่ตีดติ ่อเพ่อขอร ื บขั อม้ ลขู าวสาร ่ หรอคื าแนะน ํ าในการต ํ ดติ ่อกบหน ั ่วยงานของรฐั (๔) กฎ มตคณะร ิ ฐมนตร ั ีขอบ้ งคั บั คาสํ ง่ั หนงสั อเว ื ยนี ระเบยบี แบบแผน นโยบาย หรอการ ื ตความ ี ทงนัÊ Êีเฉพาะท่จีดให ั ม้ขีÊนโดยม ึ สภาพอย ี ่างกฎ เพ่อใหื ม้ผลเป ี ็นการทวไปต ่ั ่อเอกชนท่เกี ่ยวข ี อง้ (๕) ขอม้ ลขู าวสารอ ่ ่นตามท ื ่คณะกรรมการก ี าหนด ํ ขอม้ ลขู าวสารใดท ่ ่ไดี ม้การจ ี ดพั มพิ เพ ์ ่อใหื แพร ้ ่หลายตามจานวนพอสมควรแล ํ ว้ถาม้ การลงพ ี มพิ ในราช ์ กจจาน ิ ุเบกษาโดยอางอ้ งถิ งสึ ่งพิ มพิ น ์ นกัÊ ็ใหถ้อวื าเป่ ็นการปฏบิตัตามบทบ ิ ญญั ตัวรรคหน ิ ่งแล ึ ว้ ใหหน้ ่วยงานของรฐรวบรวมและจ ั ดให ั ม้ขีอม้ ลขู าวสารตามวรรคหน ่ ่งไว ึ เผยแพร ้ ่เพ่อขายหร ื อจื าหน ํ ่าย จ่ายแจก ณ ท่ทีาการของหน ํ ่วยงานของรฐแห ั ่งนนตามท ัÊ ่เหี นสมควร ็ มาตรา ๘ ขอม้ ลขู าวสารท ่ ่ตีองลงพ ้ มพิ ตามมาตรา ์ ๗ (๔) ถาย้ งไมั ได่ ลงพ ้ มพิ ในราชก ์ จจาน ิ ุเบกษา จะนามาใช ํ บ้งคั บในทางท ั ่ไมี เป่ ็นคณแก ุ ่ผูใดไม ้ ได่ ้เวนแต ้ ่ผูน้นจะได ัÊ รู้ถ้งขึ อม้ ลขู าวสารน ่ นตามความเป ัÊ ็นจรงมา ิ ก่อนแลวเป้ ็นเวลาพอสมควร มาตรา ๙ ภายใตบ้งคั บมาตรา ั ๑๔ และมาตรา ๑๕ หน่วยงานของรฐตั องจ ้ ดให ั ม้ขีอม้ ลขู าวสาร ่ ของราชการอย่างนอยด ้ งตั ่อไปนÊไวี ให้ ประชาชนเข ้ าตรวจด ้ ูได ้ ทงนัÊ Êีตามหลกเกณฑ ั และว ์ ธิการท ี ่ี คณะกรรมการกาหนด ํ (๑) ผลการพจารณาหร ิ อคื าวํ นิจฉิ ยทั ่มีผลโดยตรงต ี ่อเอกชน รวมทงความเห ัÊ นแย ็ งและค ้ าสํ งท่ั ่เกี ่ยวข ี อง้ ในการพจารณาว ิ นิจฉิ ยดั งกล ั าว่ (๒) นโยบายหรอการต ื ความท ี ่ไมี เข่ าข้ ายต ่ องลงพ ้ มพิ ในราชก ์ จจาน ิ ุเบกษา ตามมาตรา ๗ (๔) (๓) แผนงาน โครงการ และงบประมาณรายจ่ายประจาปํ ีของปีท่กีาลํ งดั าเนํ นการ ิ (๔) คู่มอหร ื อคื าสํ งเก่ั ่ยวก ี บวั ธิปฏี บิตังานของเจ ิ าหน้ าท้ ่ของร ี ฐั ซ่งมึ ผลกระทบถ ี งสึ ทธิ หนิ าท้ ่ของเอกชน ี (๕) ส่งพิ มพิ ท ์ ่ไดี ม้การอ ี างอ้ งถิ งตามมาตรา ึ ๗ วรรคสอง

การทำชะลอม

องค์ความรู้เรื่องการสานชะลอม

"""""""""ชะลอม จัดเป็นเครื่องจักสานอีกประเภทหนึ่งถือเป็นงานหัตถกรรม ที่แสดงให้เห็นถึง
ภูมิปัญญาอันเฉลียวฉลาดของคนในท้องถิ่นในชนบทที่สามารถนำอุปกรณ์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติมาประยุกต์เป็นวัตถุดิบ เพื่อประดิษฐ์เครื่องใช้ในการดำรงชีวิตประจำวัน โดยเน้นประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก ชะลอมเป็นภาชนะสานโปร่งด้วยลายเฉลว ก้นเป็นรูป 6 เหลี่ยม ตัวกลม ที่ปากจะเหลือตอกไว้ สำหรับมัดปิดของที่อยู่ภายใน และใช้เป็นที่หิ้วไปด้วย ชะลอมจะมีความสูงโดยประมาณ 25 - 30 ซ.ม. ชะลอมใช้ใส่ข้าวของสำหรับเดินทางซึ่งได้แก่ พวก ผลไม้ และของแห้งต่าง ๆ
วัสดุอุปกรณ์๑) ตอกที่จักสำเร็จกว้าง 1 ซ.ม. ยาว 180 ซ.ม. 12 เส้น ๒)หวายเทียมยาวประมาณ 2 เมตร 1 เส้น
๓) ตัวหนีบขนาดกลาง 6 ตัว


ขั้นตอนการสานชะลอมขั้นที่ 1 นำตอกมาวางซ้อนกันเป็นรูปกากบาทโดยให้เส้นที่ 1 ด้านบนทแยงไปทางซ้ายมือ
ตอกเส้นที่ 2 ด้านบนทแยงไปทางขวามือ
ขั้นที่ 2 นำตอกมาสอดสลับทั้ง 2 ด้านให้ตอกแนวขวางเส้นที่ 1 ด้านบนทับเส้นขวามือและสอดใต้เส้นซ้ายมือ
ขั้นที่ 3 นำตอกมาทับเส้นแนวขวางเส้นล่างแล้วสอดเส้นแนวขวางด้านบนจากนั้นนำมาทับเส้นแนว ทแยง
ขั้นที่ 4 นำตอกเส้นที่ 5 มาสอดเส้นแนวขวางด้านล่าง ทับเส้นแนวขวางด้านบนจากนั้นสอดเส้นแนวทแยง
ขั้นที่ 5 นำตอกเส้นที่ 6 มาทับเส้นแนวทแยงขวาง แล้วสอดเส้นแนวขวางด้านล่างทับเส้นแนวทแยง เส้นที่ 2 สอดเส้นแนวขวางด้านบน
ขั้นที่ 6 ยกตอกเส้นแนวทแยงขวางเส้นที่ 2 ทับเส้นแนวขวางด้านล่าง
ขั้นที่ 7 นำตอกเส้นที่ 7 มาสอดใต้เส้นทแยงทางขวามือด้านล่าง ทับเส้นที่ 2 สอดเส้นแนวขวางด้านล่าง ทับเส้นแนวขวางด้านบน
ขั้นที่ 8 นำตอกเส้นที่ 8 มาสอดเส้นแนวตั้งเส้นที่ 1 ทับเส้นแนวตั้งเส้นที่ 2 สอดเส้นแนวทแยงทับ เส้นแนวตั้งเส้นที่ 3 สอดเส้นแนวทแยงเส้นที่ 2 ยกเส้นแนวตั้งเส้นที่ 3 ทับเส้นแนวทแยง เส้นที่ 1
ขั้นที่ 9 นำตอกเส้นที่ 9 สอดเส้นแนวขวางด้านบนทับเส้นที่ 2 สอดใต้เส้นแนวตั้งเส้นที่ 1 ทับเส้น แนวขวางด้านล่าง สอดใต้เส้นแนวตั้งเส้นกลางทับเส้นแนวตั้งยกเส้นแนวขวางด้านล่างทับ เส้นแนวตั้งเส้นแรก
ขั้นที่ 10 นำตอกเส้นที่ 10 สอดใต้เส้นแนวตั้งเส้นแรกทับเส้นที่ 2 สอดเส้นแนวทแยงด้านล่างทับ เส้นแนวตั้งเส้นที่ 3 สอดเส้นแนวทแยงเส้นกลางเส้นที่ 2 ทับ เส้นแนวทแยงเส้นที่ 3 ยกเส้นแนวตั้งเส้นที่ 1 ด้านขวามือทับเส้นแนวทแยงด้านล่าง
ขั้นที่ 11 นำตอกเส้นที่ 11 มาสอดใต้เส้นแนวทแยงด้านล่าง (เส้นที่ 1) ทับเส้นแนวทแยงด้านล่าง (เส้นที่ 1) ทับเส้นแนวทแยงเส้นที่ 2 สอดเส้นแนวขวางด้านล่างทับเส้นแนวทแยงด้านบน สอดเส้นแนวขวางเส้นที่ 2 ด้านล่าง ทับเส้นที่ 2 ด้านบน สอดเส้นแนวขวางด้านบนเส้นที่ 1
ยกเส้นแนวทแยงด้านบนทับเส้นแนวขวางด้านล่าง
ขั้นที่ 12 นำตอกเส้นที่ 12 สอดเส้นแนวขวางด้านล่างเส้นที่ 1 ทับเส้นที่ 2 สอดเส้นแนวตั้งด้านขวามือ ทับเส้นแนวขวาง ด้านบนเส้นที่ 2 สอดเส้นแนวตั้งเส้นที่ 2 ด้านขวามือ ทับเส้นแนวขวาง เส้นแรกด้านบนสอดเส้นแนวตั้งเส้นที่ 2 ด้านซ้ายมือทับเส้นแนวตั้งทางขวามือ ยกเส้นแนว ขวางด้านบน เส้นที่ 2 ทับเส้นแนวตั้งทางขวามือเส้นแรก
ขั้นที่ 13 ยกเส้นข้างริมแนวขวางทั้ง 2 เส้นทับเส้นแนวทแยงด้านบน สอดเส้นแนวขวาง เส้นที่ 2 ด้านล่าง
ขั้นที่ 14 ยกเส้นริมอีกเส้นทับเส้นแนวขวางเส้นที่ 2 นำเส้นริมทั้ง 2 มุม แนวขวางมาไขว้กัน เป็นรูปกากบาท ยกเส้นที่ 2 แนวขวางด้านบน ทับส้นริมด้านล่าง (แนวขวาง)
ขั้นที่ 15 ยกเส้นริมด้านบนทับเส้นแนวขวางเส้นที่ 2 ด้านล่าง
ขั้นที่ 16 ทำเหมือนกันทุกด้าน
ขั้นที่ 17 จับสองเส้นคู่กากบาทที่เหลือไขว้กันถักต่อขึ้นไปเรื่อย ๆ เหมือนกันทุกด้าน
ขั้นที่ 18 เมื่อสานชะลอมเสร็จแล้ว รวบทำหูหิ้วชะลอมโดยรวบตอกที่สานข้างละ 6 เส้นแล้วใช้หวายเทียมพันให้สวยงาม
ขั้นที่ 19 รวบทำหูหิ้วชะลอมโดยรวบตอกที่สานข้างละ 6 เส้น
ขั้นที่ 20 จากนั้นใช้หวายเทียมพันให้สวยงาม